ประวัติศาสตร์เวียดนาม
เวียดนามเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ของการต่อสู้อันยาวนาน
เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศในนามของอาณาจักรวัน ลาง เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ในบางครั้งมีการแบ่งแยกออกเป็นอาณาจักรเล็กๆ
และในบางครั้งกลับมารวมกันได้อีก จนกระทั่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ตั้งแต่ 111
ปีก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ.938 จึงได้รับอิสรภาพจากจีน
และมีการตั้งราชวงศ์ต่างๆ ขึ้นมาปกครองประเทศ
แต่ก็ยังมีการรบพุ่งกันเองระหว่างตระกูลใหญ่ รบกับจีนเป็นครั้งคราว
รวมทั้งพวกจามปาและเขมรด้วยพร้อมกันไป จนกระทั่งเหงียนอั๋นห์สามารถรวบรวมอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวกันได้
และตั้งราชวงศ์เหงียนขึ้นปกครองเวียดนาม ใน ปี ค.ศ.1802
ปี ค.ศ.1862
ฝรั่งเศสบุกโจมตีไซ่ง่อน จักรพรรดิตือดึ๊ก
เซ็นสัญญายอมแพ้และตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1940 – 1954 โฮจิมินห์นำประชาชนต่อสู้กับพวกฝรั่งเศส
และพยายามกลับมามีอิทธิพลทำให้เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากสงครามโลกครั้งที่
2 สิ้นสุดลง
กองกำลังเวียดมินห์ได้พามวลชนลุกขึ้นสู้ในทุกหัวเมืองของเวียดนามในเดือนสิงหาคม
ค.ศ.1945 เรียกกันว่า “การปฏิวัติเดือนสิงหาคม”
และได้รับชัยชนะและ โฮจิมินห์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก
ได้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญในปีถัดมา
จนถึงปี ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา สงบศึกที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลการเจรจาสงบศึกตกลงว่าฝรั่งเศสต้องให้เอกราชแก่เวียดนาม และประเทศเวียดนามจะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ โดยเวียดนามเหนืออยู่ภายใต้การปกครองของโฮจิมินห์ และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเบาได๋
จนถึงปี ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา สงบศึกที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลการเจรจาสงบศึกตกลงว่าฝรั่งเศสต้องให้เอกราชแก่เวียดนาม และประเทศเวียดนามจะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ โดยเวียดนามเหนืออยู่ภายใต้การปกครองของโฮจิมินห์ และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเบาได๋
ความเป็นอิสระของเวียดนามดำเนินอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อในปี ค.ศ.1955 สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาช่วยเหลือในการสร้างรัฐให้แก่เวียดนามใต้ และเพิ่มการช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือ โฮจิมินห์พยายามจะล้มล้างรัฐบาลเวียดนามใต้ โดยส่งขบวนการเวียดกงเข้าไปแทรกแซง ชักชวนให้ประชาชนเวียดนามใต้ต่อต้านรัฐบาลตนเอง ประชาชนเวียดนามใต้ได้มีประชามติปลดจักรพรรดิเบาได๋ออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1955 และ
โงดินห์เดียมได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นับตั้งแต่นั้นมาประเทศเวียดนามใต้ได้เกิดสงครามภายในตลอดมา โดยโงดินห์เดียมได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เวียดกงได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือและโซเวียต
ปี ค.ศ.1963 โงดินห์เดียมถูกโค่นอำนาจและเสียชีวิต สหรัฐจึงได้ส่งทหารเข้ามาต่อสู้กับเวียดกง อีก 2 ปีต่อมา สหรัฐส่งกำลังทหารเข้ามาปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรอีก 7 ประเทศ
สงครามเวียดนามจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี ค.ศ.1973 แม้ว่าทหารสหรัฐจะเข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจจะสู้รบกับสงครามกองโจร หรือสงครามจรยุทธของเวียดกง ในสมรภูมิที่ไม่คุ้นเคยได้ ทหารอเมริกันที่ถูกส่งเข้าไปในเวียดนามถึง 2,500,000 นาย เสียชีวิตไปกว่า 58,000 นาย บาดเจ็บนับ 200,000 นาย และเชื่อว่าอีกแสนนายฆ่าตัวตาย เพราะทนสภาพโหดร้ายไม่ไหว ส่งผลให้เกิดการเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพ (Paris Peace Accords) ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1973 ณ กรุงปารีส แต่ก็ไม่ได้ทำให้สงครามเวียดนามยุติลง
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1975 เมื่อกองทัพเวียดกงบุกเข้าถึงกรุงไซ่ง่อน (เมืองหลวงของเวียดนามใต้ในขณะนั้น) ไซ่ง่อนแตก การสู้รบสิ้นสุดลง เดืองวันมินห์ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ประกาศยอมแพ้ จึงเป็นการสิ้นสุดอำนาจของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม โดยประเทศเวียดนามเรียกสงครามนี้ว่า “สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน”
วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นประเทศเดียวกัน ในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีการปกครองแบบสังคมนิยม โดยมีฮานอยเป็นเมืองหลวงและเปลี่ยนชื่อเมืองไซ่ง่อนเป็น โฮจิมินห์ซิตี้ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เวียดนามจึงเป็นอิสระจากการปกครองของต่างชาติอย่างถาวรอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการต่อสู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
การเมืองการปกครองแบบสังคมนิยมนั้นทำให้ระบบเศรษฐกิจของเวียดนามชะงักงัน ขาดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกันก็ล้วนแต่มีฐานะยากจน อีกทั้งยังไม่มีความร่วมมือใดๆในทางเศรษฐกิจร่วมกัน ทำให้ความเป็นอยู่แร้นแค้น และขาดคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังมีช่องโหว่ให้ผู้มีอำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้ช่องทางหาประโยชน์สู่ตนและพวกพ้อง
ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 เวียดนามจึงต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น จึงมีการปฏิรูปการเมืองการปกครองเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เริ่มทำให้มีเงินทุนหลังไหลเข้าสู่ประเทศมากขึ้น อุตสาหกรรมต่างๆได้ถูกพัฒนามากขึ้น ทำให้แนวโน้มของคุณภาพชีวิตประชาชนสูงขึ้นตามไปด้วย
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน
เป็นอีกก้าวกระโดดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงประเทศเวียดนาม เข้าสู่ยุคใหม่
มีการลงนามกรอบข้อตกลงทางการค้ากับชาติต่างๆ
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอเชีย-แปซิฟิก
เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิตของประชาชน
อันเป็นความปรารถนาสูงสุดของประชาชนในประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น